"หงส์แดง" ทำสามแต้มหล่นในรังแอนฟิลด์เป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้แล้วหลัง เบิร์นลี่ย์ ทำเซอร์ไพรซ์ด้วยการไล่ตีเสมอในครึ่งเวลาหลัง เป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงเข้ามากมายแต่ต้องชมทาง เบิร์นลี่ย์ ที่เล่นเกมรับอย่างเหนียวแน่นพร้อมกับใช้โอกาสจบสกอร์ในเกมรุกอย่างคุ้มค่า ผลการแข่งขันนี้ก็ทำให้โอกาสทำลายสถิติ 100 แต้มเริ่มยากขึ้นแล้ว เรามาดูประเด็นในเกมนี้กัน
1.กองหน้าต้องเสริม
ถือเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล ใช้โอกาสยิงประตูเปลืองมากโดยเฉพาะสามประสานแนวรุก สำหรับเกมนี้ “หงส์แดง” มีโอกาสยิงถึง 23 ครั้งและยิงตรงกรอบมากถึง 9 ครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นประตูได้แค่ลูกเดียวเท่านั้น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่กำลังลุ้นดาวซัลโวหลังจากซัดไปทั้งหมด 19 ประตูเป็นคนที่น่าจะมีสกอร์ในเกมนี้เหลือเกินจากโอกาสยิงถึง 6 ครั้ง
ด้าน โรแบร์โต้ ฟีมีร์โน่ ยังคงโดนอาถรรพ์แอนฟิลด์เล่นงานต่อเนื่อง ความจริงกองหน้าชาวบราซิลมีโอกาสทองแต่น่าเสียดายที่ลูกยิงของเขาดันไปชนเสาจึงทำให้ยังยิงประตูในบ้านฤดูกาลนี้ไม่ได้เสียที ขณะที่เกมนี้ ซาดิโอ มาเน่ อาจจะไม่ได้มีโอกาสมากแต่เน้นปั้นเกมให้เพื่อนเป็นหลัก
น่าสนใจว่าในวันที่สามประสานต่างจบสกอร์กันไม่คม เมื่อหันมามองที่ตัวสำรองแต่ละคนก็ยากที่จะฝากความหวังให้ลงมาเปลี่ยนเกมไม่ว่าจะเป็น ดิว็อค โอริกี้ หรือ ทาคูมิ มินามิโนะ ไม่แปลกใจที่ก่อนหน้านี้ คล็อปป์ จะเล็งคว้าตัว ติโม แวร์เนอร์ เข้ามาในทีม ทว่าเมื่อเป้าหมายนี้พลาดไปก็ยังไม่มีข่าวกับกองหน้าคนไหนเลย นี่ถือเป็นจุดอ่อนที่ คล็อปป์ จำเป็นต้องแก้ไขหากจะป้องกันแชมป์ให้ได้ในฤดูกาลหน้า
2.โป๊ปหนึบจัด
ที่เกมนี้ “หงส์แดง” ใช้โอกาสเปลืองส่วนหนึ่งเลยต้องชมผู้รักษาประตูของ เบิร์นลี่ย์ อย่าง นิค โป๊ป ที่ช่วยให้ทีมไม่เสียประตูอยู่หลายครั้ง โดยเขาเซฟไปทั้งหมด 9 ครั้งในเกมนี้ โดยเฉพาะลูกยิง 2 ครั้งของ ซาลาห์ ในครึ่งแรกที่น่าเป็นประตูเหลือเกินแต่ต้องปรบมือให้ความสุดยอดของ นิค โป๊ป น่าเสียดายที่เกมนี้เขาอดเก็บคลีนชีทจึงทำให้สถิติไม่เสียประตูยังอยู่ที่ 14 นัดแต่ยังครองเป็นผู้นำของนายด่านพรีเมียร์ลีกอยู่ ถือเป็นตัวเต็งที่ได้จะได้รางวัลถุงทือทองคำในฤดูกาลนี้
สิ่งที่น่าสนใจคือหากเล่นด้วยฟอร์มแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนฤดูกาลหน้า มีโอกาสจะเบียดมือหนึ่งทัพ “สิงโตคำราม” อย่าง จอร์แดน พิคฟอร์ด เป็นตัวสำรองเลยก็เป็นได้ โดย โป๊ป ถือเป็นมือสองในทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เก็ต อยู่แล้วและด้วยประสบการณ์และฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในตอนนี้ เราอาจได้เห็นเขาลงเฝ้าเสาในฟุตบอลยูโรปีหน้า
3.โจนส์ต้องเด็ดขาด
เป็นดาวรุ่งที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ หมายมั่นปั้นมือว่าจะขยับมาทีมชุดใหญ่แบบเต็มตัวในฤดูกาลหน้าหลังจากโชว์ฟอร์มน่าประทับใจในหลายๆเกม ฤดูกาลนี้กองกลางวัย 19 ปียิงประตูชัยในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ในศึกเอฟเอ คัพ แถมยังยิงใส่ ชรูวส์บิวรี่ อีกหนึ่งประตูก่อนจะได้โอกาสสัมผัสเกมพรีเมียร์ลีกเป็นนัดที่สามในซีซั่นนี้พร้อมกับยิงประตูปิดกล่องใส่ แอสตัน วิลล่า
เกมกับ เบิร์นลี่ย์ เจ้าตัวได้ออกสตาร์ทตัวจริงเป็นครั้งแรกในลีกฤดูกาลนี้ และทำผลงานเข้าตาแม้จะไม่สามารถช่วยทีมให้ชนะได้ก็ตาม โจนส์ เป็นคนที่หาตำแหน่งได้ดีในเขตโทษและเล่นด้วยความมั่นใจ กล้าเล่นกล้าลุย ทำชิ่งกับแนวรุก กลายเป็นกองกลางที่สัมผัสบอลเยอะที่สุดในสนาม สิ่งที่เจ้าตัวอาจต้องติวเพิ่มคือความเด็ดขาดในการปิดสกอร์เพราะมีโอกาสยิงงามๆ 2-3 หนแต่เปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้ อย่างไรก็ตามถือเป็นนักเตะที่มีอนาคตไกลแน่นอน ต้องมาริดูกันว่าฤดูกาล โจนส์ จะได้ฉายแสงในพรีเมียร์ลีกหรือไม่?
4.เบิร์นลี่ย์มีลุ้นฟุตบอลยุโรป
ถือเป็นทีมที่น่าจับตามองเหลือเกิน แม้ว่าจะไม่ได้มีเกมรุกที่สวยงามแต่การใช้บอลสไตล์โยนยาวแบบโบราณยังคงได้ผลเสมอ การแบ่งแต้มที่แอนฟิลด์ถือเป็นหนึ่งแต้มสำคัญที่ยังทำให้พวกเขามีลุ้นคว้าตั๋ว ยูโรปา ลีก ซึ่งพวกเขาเคยลงแข่งขันมาแล้วในฤดูกาล 2018-19
โดยตอนนี้พวกเขาอยู่อันดับที่ 9 ของตาราง มีแต้มเท่ากับอันดับ 8 อาร์เซน่อล ที่ 50 คะแนน ตามหลังอันดับ 7 วูล์ฟส์ อยู่ 2 คะแนน และอันดับ 6 อย่าง เชฟฯยู อยู่ 4 คะแนน หากแชมป์เอฟเอ คัพตกเป็นของทีมใดทีมหนึ่งในท็อปโฟร์ โควต้า ยูโรปา ลีก ก็จะตกเป็นของอันดับ 7 ด้วย งานนี้ เบิร์นลี่ย์ ถือว่าได้ลุ้นเต็มตัวกับ 3 นัดที่เหลืออยู่นั่นคือการเจอ วูล์ฟส์, นอริช และไบรท์ตัน
5.อดทำสถิติ
ก่อนเกมนี้ ลิเวอร์พูล มีสถิติชนะในรังแอนฟิลด์ 100% เต็มในฤดูกาลนี้และเหลือเกมในบ้านอีกเพียงสองนัดเท่านั้น หากเก็บชัยได้หมด “หงส์แดง” จะทำสถิติเป็นทีมแรกที่คว้าชนะในบ้านทุกนัดนับตั้งแต่ ซันเดอร์แลนด์ ทำได้ในปี 1892 อย่างไรก็ตามประตูของ เจย์ โรดริเกซ ดับฝันทุกอย่าง นี่ถือเป็นการทำแต้มหล่นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2019
อย่างไรก็ตามสถิติ 100 แต้มของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงเป็นไปได้อยู่สำหรับ ลิเวอร์พูล แต่หลังจากนี้อีก 3 นัดพวกเขาต้องเก็บชัยชนะให้ได้ทั้งหมด โดยโปรแกรมที่เหลืออยู่คือการเจอกับ อาร์เซน่อล (เยือน), เชลซี (เหย้า) และนิวคาสเซิ่ล (เยือน) ซึ่งถือว่าหินทีเดียว มารอดูกันว่า “หงส์แดง” จะทุบสถิติได้หรอืไม่
เพิ่มเติม : prideonehomes.com
|