[x] ปิดหน้าต่างนี้
Powered by ATOMYMAXSITE 2.5
:::โรงเรียนจอมพระประชาสรรค์ยินดีต้อนรับ:::
ยินดีต้อนรับคุณ บุคคลทั่วไป  
English Chinese (Simplified) Chinese (Traditional) French German Italian Japanese Korean Portuguese Russian Spanish Vietnamese Thai     
ค้นหา   
::: ยินดีต้อนรับสู่ เว็บไซต์โรงเรียนจอมพระประชาสรรค์ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ 32180 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต33 กระทรวงศึกษาธิการ :::
เมนูหลัก
ภาระงานกลุ่มบริหาร






ภาระงานกลุ่มสาระ
















ภาระงาน จปส.


 






 



 




หลักสูตรลดเรียนเพิ่มรู้&บูรณาการ
กิจกรรมสาธารณะประโยชน์ IS3 
 








ห้องเรียนออนไลน์








 

poll

   คุณคิดว่าเวปนี้เป็นอย่างไร


  1. ดีเยี่ยม
  2. ดีมาก
  3. ดี
  4. ปานกลาง
  5. พอใช้


ช่องทางร้องทุกข์
ระบบสารสนเทศ





















  

   เว็บบอร์ด >> ห้องนั่งเล่น >>
ศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์ ครั้งที่ 183 หรือยกแรกของฤดูกาลนี้   VIEW : 830    
โดย 8357

UID : ไม่มีข้อมูล
โพสแล้ว : 471
ตอบแล้ว :
เพศ :
ระดับ : 17
Exp : 58%
เข้าระบบ :
ออฟไลน์ :
IP : 49.228.226.xxx

 
เมื่อ : พุธ ที่ 27 เดือน มกราคม พ.ศ.2564 เวลา 10:52:53    ปักหมุดและแบ่งปัน

ศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์ ครั้งที่ 183 หรือยกแรกของฤดูกาลนี้จบลงด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์
โดยทั้งสองฝ่ายมีโอกาสยิงตรงกรอบรวมกันตลอด 90 นาทีแค่ 4 ครั้งเท่านั้น หากจะใช้คำว่า น่าผิดหวัง ก็คงไม่ผิดสำหรับทั้งสองทีม แต่ก็มีประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่องในเกมนี้ เรามาเจาะลึกกันทีละข้อเลย
1.กลางผีเฉิดฉาย แมนเชสเตอร์ดาร์บี้ครั้งนี้เป็นเกมที่เน้นการสู้กันในแดนกลางเป็นส่วนใหญ่และถึงแม้ว่า ผีแดง จะจบเแมตช์ด้วยการมีเปอร์เซ็นต์ครองบอลน้อยกว่าทีมเยือน แมนฯ ซิตี้ แต่ทว่าเมื่อดูในเกมแล้วกองกลางแต่ละคนของทีมต่างมีผลงานยอดเยี่ยมทีเดียว
เริ่มจาก ปอล ป็อกบา ที่ทำเซอร์ไพรส์กับการออกสตาร์ทตัวจริงท่ามกลางกระแสย้ายทีมที่หนาหูในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าตัวยังแสดงความเป็นมืออาชีพให้เห็น การครองบอลของ ป็อกบา สร้างประโยชน์มากในเกมนี้แม้จะต้องใช้เวลาจับจังหวะเกมอยู่พอสมควร เขาสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม 2 ครั้ง
และเลี้ยงผ่านคู่แข่งอีก 2 ครั้ง ส่วนเฟร็ดนั้นน่าจะโดดเด่นที่สุดในแผงกลางนัดนี้ เขารับมือกับแดนกลางของ เรือใบสีฟ้า ได้ดีแม้จะต้องเจอกับปัญหาบาดเจ็บรบกวน ช็อต “ซีดาน-เทิร์น” และแตะหลบอีกหนึ่งจังหวะน่าจะสร้างความประทับใจให้แผนผีไม่น้อยทีเดียว
2.ราฮีมและผองเพื่อนหลุดฟอร์ม ไม่ใช่ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่มีโอกาสในเกมนี้แต่ความดุดันในการจบสกอร์ของพวกเขานั้นหายไปดื้อๆต่างจาก 2 นัดในลีกก่อนหน้านี้ พวกเขามีโอกาสยิง 9 ครั้งแต่ยิงตรงกรอบแค่ 2 ครั้งเท่านั้นกับเปอร์เซ็นต์ครองบอลทั้งหมด 54%
4 แนวรุกที่เป็นความหวังของทีมงัดฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้ เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งกองหน้า โดยหลังจากที่ เซร์คิโอ อเกวโร่ ไม่พร้อมสำหรับเกมนี้ทำให้เป็นโอกาสตกเป็นของ กาเบรียล เชซุส แต่เขาช่วยทีมได้น้อยมากและมีโอกาสง้างยิงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ขณะที่ ราฮีม สเตอร์ลิง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเขายังยิงประตู แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เลยทั้งที่เคยเจอ “ผีแดง” มาแล้วถึง 22 นัด และครั้งนี้เขาก็โดน อารอน วาน-บิสซาก้า ประกบจนเล่นไม่ออกอีกตามเคย ส่วน ริยาด มาห์เรซ​ ก็มีโอกาสที่จะสร้างความแตกต่างให้กับทีมหลังจากมีโอกาสทองหลุดเดี่ยวไปดวลตัวต่อตัว ทว่าเขากลับยิงติดเซฟของ เด เคอา
สำคัญที่สุดเลยคือ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพของทีม หากจะเทียบกับเพลย์เมคเกอร์ของอีกฝ่ายอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส แล้วก็ถือว่าฟอร์มเป็นรองพอสมควรและมีอิทธิพลในแนวรุกน้อยกว่าฝั่งเจ้าบ้าน การออกบอลของเขาต่ำกว่ามาตรฐานไปหน่อยแต่คงต้องยกเครดิตให้ฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วย 3.แนวรับต้องให้ได้แบบนี้ ในขณะที่แนวรุกของ “ผีแดง” ต่างโชว์ฟอร์มกันน่าผิดหวังหลายคนเกมรับของพวกเขากลับทำผลงานโดดเด่นมากเหลือเกินจนมีส่วนช่วยให้ทีมรอดเสียประตูอยู่หลายหน
ฤดูกาลนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เลือกที่จะเสริมทัพแนวรับแค่ตำแหน่งแบ็กซ้ายเพียงคนเดียว ทั้งที่กระแสแฟน “”เร้ด อาร์มี่”” อยากให้ทีมดึงเซนเตอร์แบ็กคนใหม่เข้ามา มันจึงเป็นบทพิสูจน์ว่า โซลชา คิดถูกหรือไม่ที่เคยกล่าวว่า “”สำหรับผมเรามีเซนเตอร์แบ็กที่ดีพอในเวลานี้”” แต่หลังจากผ่านมาทั้งหมด 10 นัดในลีก ทีมกลับเสียประตูถึง 17 ลูกแล้ว ขณะที่ใน ชปล. พวกเขาเสียถึง 10 ประตู คำตอบมันจึงค่อนไปทางคิดผิดเสียมากกว่า