[x] ปิดหน้าต่างนี้
Powered by ATOMYMAXSITE 2.5
:::โรงเรียนจอมพระประชาสรรค์ยินดีต้อนรับ:::
ยินดีต้อนรับคุณ บุคคลทั่วไป  
English Chinese (Simplified) Chinese (Traditional) French German Italian Japanese Korean Portuguese Russian Spanish Vietnamese Thai     
ค้นหา   
::: ยินดีต้อนรับสู่ เว็บไซต์โรงเรียนจอมพระประชาสรรค์ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ 32180 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต33 กระทรวงศึกษาธิการ :::
เมนูหลัก
ภาระงานกลุ่มบริหาร






ภาระงานกลุ่มสาระ
















ภาระงาน จปส.


 






 



 




หลักสูตรลดเรียนเพิ่มรู้&บูรณาการ
กิจกรรมสาธารณะประโยชน์ IS3 
 








ห้องเรียนออนไลน์








 

poll

   คุณคิดว่าเวปนี้เป็นอย่างไร


  1. ดีเยี่ยม
  2. ดีมาก
  3. ดี
  4. ปานกลาง
  5. พอใช้


ช่องทางร้องทุกข์
ระบบสารสนเทศ





















  

   เว็บบอร์ด >> ห้องนั่งเล่น >>
โรคแพ้ถั่วปากอ้า หรือ G6PD ที่คุณแม่ควรต้องระวังเป็นอย่างมาก!!  VIEW : 419    
โดย ตะวัน

UID : ไม่มีข้อมูล
โพสแล้ว : 307
ตอบแล้ว :
เพศ :
ระดับ : 14
Exp : 18%
เข้าระบบ :
ออฟไลน์ :
IP : 223.24.165.xxx

 
เมื่อ : อาทิตย์ ที่ 9 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2564 เวลา 12:29:08    ปักหมุดและแบ่งปัน

คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงจะได้ยินชื่อโรคที่เรียก G6PD หรือ โรคแพ้ถั่วปากอ้า เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กค่ะ ซึ่งโรคนี้เกิดจากภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD มักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง เป็นโรคที่มีการถ่ายทอดจากพันธุกรรมค่ะ เราเลยขอพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความรู้จักกับโรคแพ้ถั่วปากอ้า รวมถึงการดูแลเมื่อลูกเป็นโรคนี้กันด้วยค่ะ อย่ามัวรอช้าตามมาดูกันได้เลยค่ะ

คุณพ่อคุณแม่เคยได้ยิน “โรคแพ้ถั่วปากอ้า G6PD” กันบ้างไหมคะ แล้วรู้ไหมคะว่าโรคนี้เด็กแรกเกิดส่วนมากจะเป็นโรคนี้กันได้ด้วย ซึ่งวันนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ไปทำความรู้จักกับโรคนี้กัน บอกเลยว่าไม่น่ากลัวอย่างที่คิดนะคะ เพียงแต่ต้องดูแลเด็กๆ ให้ดีเท่านั้นเองค่ะทำความรู้จักโรคนี้กัน โรคแพ้ถั่วปากอ้า G6PD หรือโรคพร่องเอนไซม์ G6PD เป็นโรคที่เด็กจะมีโอกาสเป็นได้จากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมผิดปกนี้จากแม่สู่ลูกได้

โดยมากจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ซึ่งถ้าร่างกายขาดเอนไซม์ G6PD ก็จะทำให้เอนไซม์มีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อได้รับสิ่งกระตุ้น เช่น อาหาร ยาบางชนิด และถั่วปากอ้า เจ้าพวกนี้จะเข้าไปทำลายระบบต่างๆ ภายในเซลล์ของร่างกาย ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงสลายตัวจนเกิดภาวะโลหิตจางตามมาได้นั่นเองค่ะ

รู้ได้ยังไงว่าลูกเป็นโรคนี้
– ในเด็กทารก : จะเป็นโรคนี้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังเกิด จะมีอาการตาเหลือง ตัวเหลืองตั้งแต่แรกเกิด และมีอาการดีซ่านที่นานผิดปกติ ซึ่งมักเกิดในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
– ในเด็กโต : จะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เลย จนกว่าร่างกายจะได้รรับยาหรืออาหารบางชนิดไปกระตุ้นโรค เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ผิวหนังซีด ตาเหลือง หัวใจเต้นเร็ว หากไม่รักษาอาจจะนำไปสู่ภาวะไตวายและเสียชีวิตได้นั่นเองค่ะ

อาการของโรค
อาการมักจะเกิดขึ้นทันทีหลังเป็นโรคติดเชื้อ หรือหลังได้รับยาที่แสลง หรือหลังจากที่กินถั่วปากอ้า มีอาการเป็นๆ หายๆ ได้บ่อย ซึ่งอาการมีดังนี้
– มีไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย
– ปัสสาวะสีดำคล้ายโคล่า อุจจาระซีดลง
– ทารกแรกเกิดจะตัวเหลือง ตาเหลือง หลังคลอดเพียงไม่กี่วัน
– อาการเหลืองจัด หรือมากกว่าผิดปกติ หรือมีภาวะซีดร่วมด้วย

ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้น
– โรคติดต่อ : ที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือรา เช่น โรคไวรัสตับอักเสบเอ โรคไวรัสตับอักเสบบี โรคปอดอักเสบ โรคไข้ไทฟอยด์ เป็นต้น นอกจากนี้การติดเชื้อบางอย่าง เช่น ไข้หวัด หรือหลอดลมอักเสบ ก็อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกได้
– อาหารบางชนิด : เช่น ถั่วบางชนิด โดยเฉพาะถั่วปากอ้า บลูเบอร์รี่ รวมทั้งสารอาหารหรือสารปรุงแต่งอื่น ๆ ที่เติมลงไปในอาหาร เช่น ในขนมขบเคี้ยว อาหารหรือน้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง ไส้กรอก เป็นต้น
– ยาบางชนิดที่กระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชัน
– สารเคมีบางอย่างเช่น การบูร ลูกเหม็น เมนทอลที่พบในขนมลูกอม และยาสีฟัน เป็นต้น
เมื่อลูกเป็น จะต้องทำยังไง
1.ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
2.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
3.ออกกำลังหายให้พอดีและเหมาะสม
4.หากมีอาการตัวเหลือง ซีด ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
5.ไม่ควรซื้อยาทานเอง
6.หลีกเลี่ยงอาหารตระกูลถั่ว
7.สอนลูกสังเกตอาการผิดปกติของตัวเอง
8.แจ้งให้โรงเรียนและครูทราบถึงอาการของลูก
https://doodido.com/%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b9%89%e0%b8%96%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b8%9b%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%ad%e0%b9%89%e0%b8%b2-%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad-g6pd-%e0%b8%97/